pin poramet's blog

Enjoy the world of bloggers !!!

Tuesday, February 06, 2007

ย้ายบ้าน

หลังจากถูก blogspot บังคับให้ต้องอัพเกรด blog ปรากฎว่า blog ของผมกลับเจอปัญหา ข้อความที่เคยโพสต์หายไป และหน้าตาของ blog ก็เปลี่ยนไป ลิงก์ตกไปอยู่ข้างล่าง ฟอนต์ไทยอ่านไม่ออก

เมื่อแวะไปดูลาดเลาที่ wordpress ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม ก็รู้สึกติดใจ

ผมเลยขอย้ายบ้านไปที่ http://www.pinporamet.wordpress.com/ ครับ

Saturday, January 20, 2007

ก.ม.นอมินี ต้องแก้ให้บังคับใช้ได้จริง

ประชาไท 16 มกราคม 2550 – จากกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้แก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และเกิดกระแสคัดค้านจากหอการค้าต่างประเทศ จนนำมาสู่การตั้งคำถามว่า นี่จะเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ขัดต่อกระแสโลกาภิวัตน์หรือไม่นั้น

นายปกป้อง จันวิทย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวแสดงความเห็นในช่วงท้ายของการสัมมนาเรื่อง วิกฤตเศรษฐกิจ ที่จัดโดยคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. เมื่อวันที่ 15 ม.ค. ว่า เรื่อง พ.ร.บ.ต่างด้าวฯ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นประเด็นมาตั้งแต่สมัยที่ใช้ ปว. 281 จนมาถึงเรื่องพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542

“ปัญหาที่ผ่านมาก็คือ ประเทศเราเป็นประเทศเปิด รับการลงทุนตลอด แต่ที่ผ่านมาเราใช้วิธี ‘หลิ่วตา’ คือไม่ได้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ตัวกฎหมายก็เป็นไปเพื่อทางการเมือง ให้เห็นว่าเราปกป้องทุนชาติในความหมายที่มันสร้างคะแนนความนิยมทางการเมืองให้กับนักการเมืองของชาติได้”

เขากล่าวต่อว่า ในทางปฏิบัติ เราไม่ได้สนใจจะบังคับใช้กฎหมาย และเราก็เห็นนักธุรกิจต่างชาติ ทุนต่างชาติเข้ามาแล้วก็แปลงร่างเป็นทุนไทย เทสโก โลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ ทุนไทยทั้งนั้น มีสัญชาติไทยทั้งนั้น แล้วก็ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายพ.ร.บ.ต่างด้าว

จนเมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมครม. มีมติให้แก้ไขร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยเพิ่มนิยามความเป็นต่างด้าว จากเดิมที่พิจารณาเฉพาะสัดส่วนการถือหุ้น มาพิจารณาที่สิทธิการออกเสียง (Voting Right) ด้วย ซึ่งจะทำให้บริษัทที่ให้คนไทยถือหุ้นแทน หรือเป็นนอมินี แต่แท้จริงบริหารโดยชาวต่างชาติ ก็จะถูกนิยามเป็นบริษัทที่เป็น ‘ต่างด้าว’

ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดว่า บริษัทที่มีสัญชาติเป็นต่างด้าว ไม่สามารถประกอบกิจการในบัญชีสามประเภทได้อย่างเสรี ประเภทที่ 1 และ 2 เป็นกิจการที่อาจกระทบถึงความมั่นคง ส่วนประเภทที่สามนั้น คือประเภทที่ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมจะแข่งขันกับต่างชาติ

นายปกป้องกล่าวว่า เขาเห็นว่ารัฐบาลก็พยายามด้วยการบังคับใช้กฎหมายให้มันจริงจังมากขึ้น เพราะที่ผ่านมา เรานิยามแค่ความเป็นไทยโดยดูที่การถือหุ้น แต่เราไม่ได้ดูอีกขั้นว่า คนที่ถือหุ้นร้อยละ 51 นั้นเอาแหล่งเงินมาจากไหน หรือไม่ได้ดูเรื่องสิทธิการออกเสียง (voting right) อำนาจการจัดการบริหารบริษัท มันเป็นยังไง กฎหมายจึงพยายามแก้ตรงนั้นให้ใช้ได้จริง และมันเริ่มต้นที่เคสกุหลาบแก้ว

“แต่มันก็ใช่ ว่าสิ่งที่รัฐบาลพยายามแก้ มันอาจไม่ใช่ทางออก เราอาจต้องดูตั้งแต่ต้นเลยว่า ธุรกิจอะไรที่เราคิดว่าเราจะคุ้มครองต่อไป ปัญหาคืออะไรที่จะบังคับ อะไรที่จะเปิด ถ้าจะเปิดก็คือเปิด ไม่ต้องมีกฎหมาย แต่ที่ผ่านมามีกฎหมายมาบังคับแล้วรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ก็เลือกที่จะหลิ่วตา เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการใช้วิจารณญาณ ก็ได้ส่วนเกินทางเศรษฐกิจ เพราะสามารถเลือกที่จะบังคับได้ว่าจะใช้กฎหมายกับใคร เมื่อไหร่”

นายปกป้องกล่าวว่า ทางออก ทางแก้ของมัน คือต้องดูว่าเราต้องการคุมอะไรบ้าง ในธุรกิจบริการ อะไรจะอยู่ภายใต้พ.ร.บ.ต่างด้าวฯ อะไรที่จะเปิดไปเลยโดยที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ให้ทุนต่างชาติเข้ามาแทนได้เต็มที่ร้อยเปอร์เซนต์ แล้วเลือกควบคุมการผูกขาดด้วยกฎหมายฉบับอื่นๆ ที่ต้องใช้ประกอบกัน เช่น พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า 2542 พ.ร.บ.ป้องกันการผูกขาด อันนี้จะช่วยลดการใช้วิจารณญาณ

แต่ถ้าเราแก้อยู่ในกรอบเดิม คือดูสามบัญชี และคุมสิทธิการออกเสียง (Voting Right) มันก็จะมีปัญหา เพราะจะมีบางธุรกิจในทางเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการเข้ามามีส่วนร่วมของต่างชาติ เราก็ต้องมาดูว่า ความจริงมันเป็นยังไง อะไรที่ต่างชาติมีอยู่แล้ว อะไรที่ต้องคุ้มครอง หรือคุ้มครองก็ต้องให้ชัดว่า transition period มันจะยาวนานขนาดไหน

เช่น ถ้าเปิดเสรีการเงินให้ต่างชาติเข้ามาแข่งขันได้เต็มที่ ภาคธนาคารของเราก็เจ๊ง แต่ถ้าไม่เปิดเลย ธนาคารไทยก็เป็นผู้มีอำนาจผูกขาดในตลาดผู้เล่นน้อยรายได้ (อนึ่ง ธุรกิจธนาคารไม่ได้อยู่ภายใต้ พรบ.ต่างด้าว 2542) จะหาจุดลงตัวที่ดีต่อสังคมเศรษฐกิจไทยอย่างไร การเข้ามาของต่างชาติไม่ได้มีแต่เรื่องมิติเรื่อง GDP อย่างเดียว มันก็เป็นการแย่งชิงส่วนเกินทางเศรษฐกิจ ระหว่างทุนต่างชาติกับทุนไทย มันก็มีโอกาสที่คนไทยจะตกงานและสู้ไม่ได้ มันมีหลายมิติ

“ประเด็นผมคือ ต้องนิยามให้ชัดว่าเราจะคุ้มครองอะไร ถ้าเราไม่คุ้มครองอะไรก็เปิดเสรีไปเลย อะไรที่ต้องคุ้มครองก็ต้องมีกฎกติกาที่โปร่งใสชัดเจน ถ้าต้องคุ้มครองก็ต้องมาดูว่า แค่ลำพังการดูผู้ถือหุ้น มันอาจจะไม่สะท้อนความเป็นจริง ก็ต้องมาดูสิทธิการออกเสียง (Voting Right)”

เขากล่าวว่า ในความเป็นจริง เรื่องกุหลาบแก้วมันก็ผิดอยู่แล้วตั้งแต่พ.ร.บ.เก่า รัฐบาลไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เล่นงานกุหลาบแก้วได้ เพราะผิดพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว 2542 มาตรา 36 มันก็เขียนไว้ชัดอยู่แล้ว ว่าการพยายามให้ถือหุ้นแทนมันผิดกฎหมาย มีบทลงโทษที่ชัดเจน

“ผมคิดว่า สิ่งที่ทำอยู่ ไมได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่เราก็ได้ยินเสียงมายาวนานแล้วว่า ให้เล่นเรื่องนอมินีอย่างจริงจัง ให้เป็นเคสกุหลาบแก้ว แต่พอมาเล่นอย่างจริงจัง ก็มีเสียงค้านว่า เดี๋ยวทุนจะหนีไปไหน แต่ถ้าเราดูบัญชีสามจริงๆ ที่ผ่านครม.อาทิตย์ที่แล้ว ทุนเก่าก็ไมได้รับผลกระทบอะไร เพราะแค่ไปรายงาน ไปแจ้งว่าที่ผ่านมาทำผิด แค่แจ้ง ไม่ต้องปรับสัดส่วนสิทธิการออกเสียง”

“แต่ผมแค่กังวลกลุ่มทุนใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนภาคบริการ ต้องมาดูว่า มันจะคลุม ไม่คลุมอะไร นั่นน่าจะเป็นโจทย์ใหญ่ แล้วเราต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริง ไม่ดัดจริต” เขากล่าวทิ้งท้าย

Wednesday, January 17, 2007

คอนเสิร์ต 'เฉลียง' ครั้งใหม่ ?!

เมื่อวานนั่งเปิดทีวีเล่นไปเรื่อย มาสะดุดอยู่ที่ UBC ช่องหนึ่ง ซึ่งพี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง กำลังออกอากาศสดอยู่

มีผู้ชมคนหนึ่งโทรศัพท์ไปถามว่า 'เฉลียง' จะเล่นคอนเสิร์ตกันอีกเมื่อไหร่

พี่จุ้ยบอกว่าวันเสาร์ที่ 20 มกราคม มีคอนเสิร์ตคีตา มีเฉลียงไปเล่น 4 คน เพราะเขาให้ร้องแค่ 4 เพลง

ส่วนตัวพี่จุ้ยไม่ได้ร่วมด้วย แต่จะไปร้องเพลงที่สนามหลวง เวลาประมาณเที่ยงๆ ! (บอกแล้วพี่ว่า บ้านเมืองมันร้อน)

ผมฟังไปเรื่อย ขำๆ ไม่ได้คิดอะไร กระทั่งพี่จุ้ยบอกว่า อาทิตย์ที่ผ่านมาได้เจอกับพวกเฉลียง เห็นชวนๆ ให้มาเล่นคอนเสิร์ตครบทีมกันอีก

ได้ฟังแล้วก็ตื่นเต้นดีใจตามประสาแฟน 'เฉลียง'

เป็นข่าวดีข่าวแรกของปีหมูไฟ ที่แสนหดหู่เศร้าซึมสิ้นหวัง

เมื่อวานคุณพิธีกรทั้งสองไม่ยอมซักต่อ วันนี้ตอนค่ำๆ ผมเลยโทรศัพท์ไปสอบถามจากเจ้าตัว พี่จุ้ยบอกว่าพี่ดี้ชวนๆ อยู่ แล้วบอกต่อว่า เฉลียงรวมตัวกันเล่นคอนเสิร์ต ยากที่สุดก็อยู่ที่พี่ดี้กับพี่นี่แหละ

ผมเลยยุส่งอีกแรง เอาน่าพี่ แฟนๆ รอมาหลายปีแล้ว

หมดคอนเสิร์ตคีตาคงได้คุยกันต่อ ... พี่จุ้ยกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะคุยกันต่อเรื่องอื่น

จับอารมณ์และน้ำเสียงแล้ว มีแววว่าแฟนเฉลียงทั้งหลายอาจจะได้ฉลองข่าวดี !

หวังอย่างยิ่งว่าผมจะเข้าใจไม่ผิด จึงรีบมาแบ่งปันข่าวดีให้เหล่าคนสนิทชิดเฉลียงได้ทราบ

ระหว่างนี้ก็เตรียมซื้อดีวีดีคอนเสิร์ต 'แก้คิดถึงฯ' กับ 'เรื่องราวบนแผ่นไม้' ที่ใกล้เสร็จไปพลางก่อน

อยากรู้รายละเอียดก็แวะได้ที่ เว็บเฉลียง ครับ

Wednesday, January 10, 2007

หนังที่ 'นางฟ้า' ต้องดู

นับตั้งแต่ประโยคเปิดเกมของ 'นิ้วกลม' บนโต๊ะอาหารที่ร้าน iberry สยามสแควร์ เราทั้งสองก็โดนปาฏิหาริย์ของ 'นางฟ้า' เล่นงานเป็นระลอกๆ

จนเมื่อสองวันก่อนถึงกับเกิดเหตุการณ์มือไม้สั่นความดันขึ้นกลางโรงอาหารกันเลยทีเดียว !

เย็นวันหนึ่ง 'นิ้วกลม' ท้าทายผมว่า เห็นเขียนหนังที่ 'คนอย่างทักษิณ' ต้องดูแล้ว กล้าเขียนถึงหนังที่ 'นางฟ้า' ต้องดูหรือเปล่า

ปัทโธ่ น้องชาย พี่ไม่เคยกลัวอยู่แล้ว ... ถ้าเขียนลับหลังอ่ะ

ผมเกทับกลับไปว่า ถ้าปิ่นกล้าเขียน 'นิ้วกลม' จะกล้าบล็อกตามเรื่อง 'หนังอีก 5 เรื่องที่ 'นางฟ้า' ต้องดู' หรือเปล่า

'นิ้วกลม' ก็ตอบรับคำท้าทันควันอย่างไม่พรั่นพรึง ... เพราะเขียนลับหลังเหมือนกัน (ฮา)


นี่คือหนัง 5 เรื่อง ที่ผมเสนอว่า 'นิ้วกลม' ควรชวน 'นางฟ้า' ไปดู

แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเธอคงปฏิเสธ 'มนุษย์ธรรมดา' อย่างชาเย็นก็ตาม


1. Love Actually

นึกถึงหนังรักต้องเรื่องนี้มาก่อนเลย

เขาว่า Love actually is all around. ความรักอยู่รอบตัวเรานี่แหละ

ยิ่ง 'นางฟ้า' ด้วยแล้ว หันซ้ายขวาหน้าหลังก็คงเจอแต่ความรักล้อมรอบจนน่ารำคาญ อาจเพราะเบื่อหน่ายชินชา อาจเพราะสำลักความรัก 'นางฟ้า' เลยต้องสร้างกำแพงป้องกันความรักรอบตัวไว้หลายชั้น

'นางฟ้า' เลยไม่เคยมองเห็นคนเฝ้ารอซ้ายขวาหน้าหลังอยู่ในสายตา

ทั้งๆ ที่ Love actually is all around. แท้ๆ

อยากรู้ว่าเวลา 'นางฟ้า' ดูหนังเรื่องนี้ จะรู้สึกสงสารชายถือป้ายที่กดออดหน้าบ้านสาวที่เขาแอบหลงรักในวันคริสต์มาสบ้างไหมหนอ

2. Sin City

'นางฟ้า' คนดีจะชอบผู้ชายดีๆ ไหมนะ

หรือชะตากรรมของผู้ชายดีๆ จะต้องจบลงด้วยประโยค 'เธอดีเกินไป ไม่เหมาะกับเราหรอก' เสมอไป

ก็ผู้ชายดีๆ มันน่าเบื่อ ไม่มีอะไรให้ค้นหา ไม่น่าตื่นเต้น มันธรรมดา ไม่เท่อ่ะ

ผู้ชายดีๆ บางคน (คนชอบตัดเล็บคนนั้นแหละ)เคยเปรียบเปรยถึงชะตากรรมของผู้ชายดีๆ โดยทั่วไปไว้ ณ บริเวณทางขึ้นรถไฟฟ้าหน้าพารากอน กลางดึกคืนหนึ่ง ทำนองว่า "(ผู้ชายดีๆ)ก็เหมือนหนังสือเล่มที่อ่านแป๊บเดียวก็จบ อ่านจบเร็ว ก็โดนโยนทิ้งเร็ว"

ผู้ชายดีๆ อีกบางคน (คนหน้าตี๋ตาตี่คนนั้นแหละ) เคยเปรียบเปรยถึงชะตากรรมของผู้ชายดีๆ โดยทั่วไปไว้ในจดหมายไฟฟ้าฉบับหนึ่งทำนองว่า "หนังสืออย่าง 'พันธุ์หมาบ้า' อ่านมันส์กว่า 'พันธุ์หมาพูเดิ้ล' เยอะ"

คมไหมครับท่านผู้อ่าน ไม่น่าเชื่อว่า ความขมขื่นด้านความรัก (ในอดีต) ก็สามารถทำให้ผู้ชายเกิดอาการ ...คมมากกกก... ได้ด้วยเช่นกัน (ฮา)

นางฟ้าควรดูหนัง 'เมืองคนบาป' เรื่องนี้ เผื่อจะเจอชายในฝันบ้าง ถ้า 'นางฟ้า' ไม่รัก(ผู้ชาย)ดี

3. หมานคร

นี่เป็นหนังไทยที่ผมรักมาก แค่นึกถึงชื่อหนังก็มีเสียงเพลง 'ก่อน' ลอยมา จนต้องไปหยิบแผ่นโมเดิร์นด็อกมาเปิดคลอ

"ก่อนท้องฟ้าจะสดใส ก่อนความอบอุ่นของไอแดด ก่อนดอกไม้จะผลิบาน ก่อนความฝันอันแสนหวาน ในใจไม่เคยมีผู้ใด จนความรักเธอเข้ามา ทำให้ดวงตาฉันเห็นความสดใส ข้างกายไม่เคยมีผู้ใด จนความรักเธอเมตตา เป็นพลังให้ฉันสู้ต่อไป

ก่อนดวงดาวจะเต็มฟ้า ก่อนชีวิตจะรู้คุณค่า ก่อนสิ้นศรัทธาจากหัวใจ ก่อนที่คนอย่างฉันจะหมดไฟ ในใจไม่เคยมีผู้ใด จนความรักเธอเข้ามา ทำให้ดวงตาฉันเห็นความสดใส ข้างกายไม่เคยมีผู้ใด จนความรักเธอเมตตา เป็นพลังให้ฉันสู้ต่อไป บนโลกที่โหดร้ายเหลือเกิน ..."


ใครจะคิด 'นางฟ้า' กลับเป็นผู้ที่ทำให้ 'หมาบ้าน' บางคน ต้องใช้ชีวิตอยู่บน 'โลกที่โหดร้ายเหลือเกิน' เสียเองตั้งหลายปี

ไม่รู้ว่าถึงวันนี้ 'นางฟ้า' มี 'หาง' หรือยัง !!!

4. Babe

'หมู' อยากดูแล 'แกะ' ยังเป็นไปได้

แล้ว 'คน' อยากดูแล 'นางฟ้า' จะเป็นไปได้บ้างไหม?

ฮิ้วววววว ... พี่ชัดเจนมาเอง

ปล.อาการทำนองนี้เป็นอาการปกติ ยาม 'หมาบ้าน' (คนข้างต้น) อยู่ต่อหน้าต่อตา 'นางฟ้า' ในระยะประชิด

5. Sad Movie

ขอจบเทศกาลหนัง 'นางฟ้า' ด้วยเรื่องนี้แล้วกันนะครับ เพราะสุดท้ายน้องชายผมคงต้องนั่ง sad ดู sad movie แบบเดียวดายทำนองคนไม่เก๋าแถมเหงาใจ

'ชีวิตมันเศร้า เรื่องเก่ามันโศก'

ดู Sad Movie คงพอช่วยปลอบตัวเองได้ว่า ชีวิตรักของคนอื่นมันเศร้า ...

ไม่เห็นเท่าเราเลย ฮือๆๆๆ (ฮา)

...

ครบ 5 เรื่องแล้ว เชิญน้องท่านต่ออีก 5

เพื่อเป็นการทำบุญหมู่เฉลิมฉลองปาฏิหาริย์ 'นางฟ้า' ร่วมกัน

Saturday, January 06, 2007

blog tag ของ ปิ่น ปรเมศวร์

สวัสดีปีใหม่ 2550 ครับ !

กลับมาเขียน blog ตอนนี้ ก็เพราะคุณยุ้ย คนชายขอบแท้ๆ

คุณยุ้ยครับ คุณทำสำเร็จแล้ว !

เรื่องของเรื่องคือ เมื่อตอนบ่าย แว่บเข้า msn ตั้งใจเข้ามาชมคุณ filmsick เป็นการเฉพาะว่าชอบบทความใหม่ที่เขียนมาลงคอลัมน์ 'ดูหนังอย่างคนป่วย' เรื่อง 'FLANDERS เปิดโล่งคือปิดล้อม' เสน่ห์งานเขียนของคุณ filmsick ประการหนึ่งคือฝีมือในการเขียนเปรียบเปรย และการเลือกใช้ศัพท์เท่ๆ บาดๆ กวีๆ ได้เด็ดขาด อีกประการหนึ่ง(ในอีกหลายประการ)คือ ตั้งชื่อเรื่องได้น่าสนใจ น่าอ่าน และสื่อความหมายของเนื้อเรื่องได้ชะงัดบาดลึก

คุยกันแป๊บนึง คุณ filmsick ก็บอกว่า ผมโดน tag ซะแล้ว พูดเหมือนกับผมจะเข้าใจงั้นแหละ อย่าถูกลวงตาด้วยเห็นเป็น บก.นิตยสารออนไลน์เชียว ตัวจริงมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเพียงหางอึ่ง ไม่ใช่พวก geek อย่างคนชื่อยุ้ยที่อยู่แถวๆ ชายขอบนั่นซะหน่อย (ฮา)

ไต่ถามคุณ filmsick เลยเข้าใจว่า blog tag ก็คล้ายๆ จดหมายลูกโซ่ ถ้าเราโดน tag แปลว่า เราต้องเขียนเล่าเรื่องของตัวเอง 5 ข้อ แล้ว tag ชาวบ้านต่ออีก 5 คน

เพราะคุณยุ้ยแกไปโดน tag มา แกก็เลย tag ผมและเพื่อนต่ออีก 5 คน ด้วยต้องการเพิ่มแรงกดดันให้พวกเราอัพ blog

(อ่าน tag ของคุณยุ้ยได้ ที่นี่)

คุณยุ้ยส่งมา จะไม่ทำก็ไม่ได้ เดี๋ยวอีกหน่อยจะยุไม่ขึ้น แถมเห็นแผนผังที่คุณ Keng อุตส่าห์ทำอย่างสวยงาม ดูแล้วรู้สึกว่า ถ้าไม่ทำตามกติกา และ tag ต่อจะเป็นบาปกรรมอย่างยิ่ง กลัวจะเป็นคนเลวเหมือนคามิยามะแห่งคุโรมาตี้ทำกับโดมิโนเพื่อหยุดสถิติโลก

เช่นนี้แล้ว ... เชิญรับทราบเรื่อง(ไร้สาระมาก)5 ประการของกระผม

1. ผมชอบสอนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก(มากๆ) แค่ประถมปลายมัธยมต้น ผมก็จับน้องมานั่งเรียนหนังสือ หน้ากระดานไวท์บอร์ดเล็กๆ ที่ติดอยู่หลังเก้าอี้นั่งของเด็ก และชอบทำชีทการบ้านบังคับให้น้องทำ ทำผิดก็ชอบจับตี (โหดอะไรอย่างนี้!) เหยื่อของผม นอกจากจะเป็นน้องสาว ก็เป็นน้องชาย ลูกของคุณอา จนคนหลังเข็ดขยาด ไม่ค่อยกล้ามาบ้านผม

2. ผมเป็นเด็กจิ๋วแจ๋วครับ ! ทำรายการมาตั้งแต่ประถมหกจนถึงมัธยมสี่ (เคยแอบกลับไปทำอีกครั้งตอนอยู่ปีหนึ่งช่วงสั้นๆ) ถึงตอนนี้อายุเกือบสามสิบ (ไม่ใช่สามสิบไปหลายปีแล้วอย่างคุณยุ้ย)ประกอบอาชีพอาจารย์สอนหนังสือ ก็ยังโดนแนะนำต่อท้ายชื่อต่อหน้าฝูงชนว่าเป็นอดีตเด็กจิ๋วแจ๋วอยู่เลย เคยโดนแนะนำมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นก่อนเริ่มงานอภิปราย งานปฐมนิเทศนักศึกษา งานพบผู้ปกครอง ไปสอนหนังสือ หรือเป็นวิทยากรอบรมนักข่าว

เคยโดนแนะนำผิดต่อหน้าสาธารณชนมาหมดแล้วเช่นกัน ว่าเป็นเด็กผึ้งน้อย เป็นเด็กเซ็นทรัลบัณฑิตน้อย เป็นเด็กโต้คารมมัธยมศึกษา ทั้งที่ผมไม่เคยไปเต้นผึ้งน้อยๆ ตัวนิดๆ ไม่เคยเต้นชูมือขึ้นแล้วหมุนๆ ไม่เคยโชว์แต่งตัวออกทีวี ซะหน่อย !

3. สมัยเรียนหนังสือปริญญาตรี แทบทุกวันศุกร์ บ้านผมจะเปิด CM Camp สำหรับผู้ไม่รู้จัก CM เป็นชื่อย่อของเกม Championship Manager ผู้เล่นจะสวมบทบาทเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล จัดทีมลงแข่ง ซื้อตัวนักเตะ เหมือนอยู่ในวงการลูกหนังโลกของจริงมาก (ใครอย่าเถียง แฟน CM ถือว่าเหมือนจริงมาก)

CM Camp ประกอบด้วยสมาชิกหลักคือ ผม โอ๊ค และฮาร์ท สามเพื่อนรักแห่งคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ที่เรียก Camp เพราะเรากลับมาปักหลักกันตั้งแต่บ่ายวันศุกร์ เล่นยาวกันทั้งคืน นอนเช้า ตื่นเที่ยง แล้วซัดกันต่อ (คืนแรกกว่าจะซื้อตัวกันเสร็จก็สามสี่ทุ่มแล้ว บางตัวต้องเป่ายิ้งฉุบ หรือจับฉลากกัน) สถิติสูงสุดของ CM Camp คือ 2 คืน 3 วัน ไม่ไปไหนเลย ซัดไปหลายฤดูกาล CM Camp เปิดติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ส่วนสถิติส่วนตัวของผม เคยเล่น CM สูงสุด 27 ฤดูกาล

4. ผมทำหนังสือครั้งแรกในชีวิตตอนอยู่ปริญญาตรีปีสอง หนังสือชื่อ 'เช้าใหม่' ขายเล่มละ 7 บาท ทำออกมาได้ 3 เล่ม พิมพ์ที่สำนักพิมพ์สุขภาพใจ ครั้งละประมาณ 1 พันเล่ม (ถ้าจำไม่ได้ผิด) วางขายที่ร้านนายอินทร์ และดอกหญ้า ท่าพระจันทร์ รวมทั้งศูนย์หนังสือ มธ. ทำกันเองเพราะอยากทำ กับเพื่อนอีก 4 คน มี เก่ง ผีหนึ่ง พี่โย และไอ้บุ้ง นอกจากทำงานด้านบรรณาธิการ ตอนนั้นเขียนคอลัมน์ชื่อ 'ตะกร้าความคิด' ใช้นามว่า 'ปิ่น ปรเมศวร์' เคยได้จดหมายชมจากหลวงพี่ท่านหนึ่งด้วย

5. ก่อนปีใหม่ได้ไปกินข้าวกับ 'นิ้วกลม' เลยได้รู้ว่า ท่ามกลางความแตกต่างของเราทั้งสอง ทั้งอาชีพ ความสนใจ วิถีชีวิต กลับมีจุดร่วมอะไรกันบางอย่าง จุดร่วมที่ทำให้ชายสองคนละลายน้ำแข็งระหว่างกันได้โดยง่าย นั่นคือ เรามีพระเจ้าองค์เดียวกัน (หรือนางฟ้าวะ)(ฮา) ผมไม่ขอเล่า เพราะเล่าเรื่องได้ไม่เนียน ไม่ใช่นักเขียนอาชีพ เดี๋ยวจะมีปัญหาครอบครัว ขอยก tag ต่อให้ 'นิ้วกลม' ตัดสินใจแล้วกันว่าจะเล่าหรือไม่ และเล่าอย่างไร ให้ทั้งผมทั้งเขาปลอดภัยทั้งคู่(ฮา)

ขออนุญาต tag ต่อไปที่ 'นิ้วกลม' ในทันที

ตามด้วย นายนิติรัฐ corgiman Ratioscripta และ คุณกรัปป้า ระหว่างบรรทัด

Saturday, July 29, 2006

ขอแก้ข่าวหน่อยครับ

เมื่อต้นเดือน ผมไปร่วมพูดคุยในงาน GM Cafe ครั้งที่ 4 หัวข้อ "My Hero:นายกฯในสายตาของคนหนุ่ม" ร่วมกับพี่ตุ้ม สรกล อดุลยานนท์ หรือ 'หนุ่มเมืองจันท์' และคุณสมชาย ชีวสุทธานนท์ หรือ 'ตี๋ แมทชิ่ง'

เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว กรุงเทพธุรกิจ หน้าจุดประกายวรรณกรรม กรุณาถอดความการสนทนาครั้งนั้น ลงตีพิมพ์ในคอลัมน์ "เบื้องหลังโต๊ะบก." เขียนโดยผู้ใช้นามปากกา ขบถหัวอ่อนไหว

ผมได้อ่านคอลัมน์ดังกล่าวจากเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ และพบว่าผู้เขียนบทความมีความเข้าใจที่ผิดพลาดและคลาดเคลื่อนในการสรุปความเนื้อหาที่ผมพูดหลายส่วน จนทำให้ผู้อ่านอาจเกิดความเข้าใจผิดได้ จึงขออนุญาตใช้พื้นที่ส่วนตัวตรงนี้ ชี้แจงสักเล็กน้อย โดยขอยกเพียงส่วนสำคัญเท่านั้น ซึ่งได้แก่

1. การอ้างชื่อหนังสือของอาจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ผิด จากที่ถูกคือ "อนิจลักษณะการเมืองไทย" เป็น "คุณลักษณะการเมืองไทย"

2. ย่อหน้าที่ผู้เขียนเขียนว่า "หลังจากนั้นผมก็ได้อ่านงานของ อ.วรากร สามโกเศศ ก็ทำให้เปลี่ยนความคิดกับทางการเมืองให้มามุ่งมั่นในการเป็นอาจารย์แทน เพราะอยากให้อาจารย์ใส่ใจที่จะให้ความรู้แก่ลูกศิษย์ไม่ใช่แค่สอนตามหน้าที่เฉยๆ"

นอกจากจะสะกดชื่ออาจารย์วรากรณ์ผิดแล้ว หากได้ฟังเทปบันทึกการสนทนา จะเข้าใจว่า ผู้เขียนไม่สามารถจับประเด็นที่ผมพูดในส่วนที่พูดถึงอาจารย์วรากรณ์ได้เลย

3. ย่อหน้าที่ว่า "ประเด็นสุดท้ายของการปิดบทสนทนาเป็นการแสดงความเห็นถึงนายกฯ ในสายตาคนหนุ่มโดย อ.ปกป้อง จันวิทย์ เปิดเผยว่า อยากเห็นคนที่มีความดี เก่ง และมีความกล้าผสมๆ กัน ถ้าจะเอ่ยเป็นชื่อบุคคลเขาคิดว่าน่าจะเป็น ลี กวน ยู นายกฯ ของสิงคโปร์ เพราะมีความฉลาดในการมองเกม มีวิสัยทัศน์ในการมองภาพรวม"

ประโยคที่ว่า "... ถ้าจะเอ่ยเป็นชื่อบุคคลเขาคิดว่าน่าจะเป็น ลี กวน ยู นายกฯ ของสิงคโปร์ เพราะมีความฉลาดในการมองเกม มีวิสัยทัศน์ในการมองภาพรวม" ไม่ใช่ประโยคที่ผมพูด บุคคลที่เอ่ยถึงลี กวน ยู บนเวที ในวันนั้น คือ คุณสมชาย ชีวสุทธานนท์ มิใช่ผม ผมไม่เคยชื่นชอบผู้นำในลักษณะลี กวน ยู เนื่องจากโดยส่วนตัว มีความเป็นเสรีนิยมทางการเมือง

การนำคำพูดของคนหนึ่งมาใส่ปากของอีกคนหนึ่ง เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าเกิดขึ้น ของผู้ที่มีหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง เพราะทำให้ผู้อ่านเข้าใจความคิดของผมอย่างผิดพลาด

ทั้งนี้ ผมได้เขียนอีเมลชี้แจงบรรณาธิการจุดประกายวรรณกรรมแล้ว สื่อเครือเดอะเนชั่น มีความเป็นมืออาชีพ และเป็นที่เชื่อถือของสังคม ผมไม่อยากให้ความเป็นมืออาชีพและความน่าเชื่อถือของเครือเนชั่นลดน้อยถอยลง จากความผิดพลาดระดับพื้นฐานทำนองนี้

Tuesday, May 30, 2006

หนังที่ 'คนอย่างทักษิณ' ต้องดู

นิตยสารเล่มหนึ่งที่ผมเป็นแฟนประจำระดับซื้อทุกเล่มคือ Bioscope นิตยสารภาพยนตร์อ่านสนุกมากสาระของคุณธิดา ผลิตผลการพิมพ์ และคุณสุภาพ หริมเทพาธิป

เมื่อช่วงสงกรานต์ได้อีเมลจากทีมงาน Bioscope แบบไม่คาดฝัน จึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจตามประสาแฟนหนังสือคนหนึ่ง

เนื้อหาในอีเมลเป็นการเชิญชวนร่วมสนุก โดยให้ช่วยกันแนะนำหนังให้นายกทักษิณดูพลางๆ เพลินๆ ระหว่างเว้นวรรค

หนังสือวางแผงเดือนพฤษภา ปกโมนาลิซ่าตามกระแสดาวินชี โค้ด เรื่องเด่นในเล่มคือสกู๊ป 50+ หนังที่ 'คนอย่างทักษิณ' ต้องดู มีผู้คนหลากหลายวงการช่วยกันนำเสนอ หนังดี ที่นายกควรดู กันคนละเรื่องสองเรื่อง พร้อมเหตุผลประกอบสั้นๆ อ่านกันจุใจกว่ายี่สิบหน้า

แม้ว่าอ่านยังไม่ทันจบ หนังสือยังไม่ทันหมดแผง ท่านนายกก็เลิกเว้นวรรคกลับมาทำงานหน้าตาเฉยซะงั้นก็ตามที

...........

นี่เป็นหนังสองเรื่องที่ผมส่งไปร่วมสนุกกับทีมงาน Bioscope

1. One Flew Over the Cuckoo’s nest

การใช้ชีวิตภายใต้ระบอบทักษิณมาพักใหญ่(นานเกินพอ!)ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเวลานึกถึงคุณทักษิณ

แม้เรื่องราวจะเกิดขึ้นในโรงพยาบาลบ้า แต่สะท้อนภาพความเลวร้ายของเผด็จการอำนาจนิยมได้อย่างดี ดูหนังเรี่องนี้แล้วเห็นภาพของผู้นำน่ากลัวในคราบหัวหน้าพยาบาล(แม้จะมีหน้าที่บำบัดคนจิตป่วย แต่เอาเข้าจริง กลับควรต้องถูกบำบัดไม่ต่างจากคนบ้า) ที่ท่องคาถารักษากติกา กติกาที่มีไว้รักษาอำนาจของตัว ไร้สาระ ตายตัวแข็งขืน กดขี่ และบั่นทอนจริยธรรมของผู้ถูกปกครอง ให้ชินชาและยอมรับสภาพอย่างเชื่องๆ

ชะตากรรมของเสรีชน ที่ตั้งคำถามและต่อสู้กับผู้มีอำนาจ อาจจบลงด้วยโศกนาฏกรรม แต่อย่างที่หนังเรื่องนี้สอนเรา อย่างน้อยคุณค่าก็ยังอยู่ตรงที่ได้พยายามแล้ว และเมล็ดพันธุ์แห่งเสรีภาพไม่มีวันตาย !


2. Rashomon

อัปลักษณะประการหนึ่งของระบอบทักษิณคือ ความพยายามสถาปนา ‘ความจริง’ ของตนเป็น ‘ความจริง’ ส่วนรวม พยายามทำตัวเป็นผู้ผูกขาด ‘ความจริง’ เพียงหนึ่งเดียว

หนังที่ตั้งคำถามลึกซึ้งด้านปรัชญาอย่าง ความจริงคืออะไร ? มีหนึ่งเดียวหรือไม่? มีอยู่แล้วให้เราค้นหา หรือ ถูกสร้างขึ้น? ทั้งตีแผ่กระบวนการผลิตสร้าง ‘ความจริง’ รวมถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์อย่างถึงกึ๋น โดยเฉพาะธรรมชาติด้านมืดของความเป็นมนุษย์ ที่ปลิ้นปล้อน หลอกลวง อ่อนแอ ต้องการการยอมรับนับถือ และเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ก็คือ Rashomon เรื่องนี้

.........

แล้วท่านละ คิดถึงหนังเรื่องไหนบ้างสำหรับ 'คนอย่างทักษิณ'!